Finance

The Big Short เป็นหนังที่เล่าถึงโลกการเงินในวิกฤตเศรษฐกิจสหรัฐปี 2007-2008 ผ่านสายตาของคน 3 กลุ่มที่ดัน "ตาแหลม" เห็นว่าตลาดอสังหาริมทรัพย์สหรัฐที่เชื่อกันว่าแข็งแกร่งเหลือหลาย (ด้วยกลไกของโลกการเงินที่ชื่อ CDO ซึ่งมีคนอธิบายกันไปเยอะแล้ว คงไม่ขอเล่าซ้ำในที่นี้) กำลังจะล่มสลายในไม่ช้า เลยท้าพนันกับมันผ่านการเล่น "ประกัน" (short) แทงสวนไปว่าตลาดนี้เจ๊งแน่นอน การแทงสวนตลาดกระแสหลัก (ตัวละครในเรื่องถึงกับบอกว่า You're betting against The American Economy) ย่อมโดนคนหัวเราะเยาะ (พร้อมกับเจ้ามือซึ่งก็คือธนาคารใหญ่ทั้งหลาย มองหน้าว่า "จะเอาจริงหรือ" แต่ก็รับเงินของเราไปอย่างดี) และแน่นอนว่าในกรณีของ

นั่งดู [House of Cards Season 1](http://isriya.com/node/4123/house-cards-first-episode) แล้วพบคำศัพท์น่าสนใจ __Blind Trust__ ลองค้นดูแล้วพบว่า [Blind Trust](http://en.wikipedia.org/wiki/Blind_trust) คือ "ทรัสต์" หรือ "กองทุน" ที่ให้มหาเศรษฐีหรือนักธุรกิจที่ต้องการเล่นการเมือง นำทรัพย์สินทั้งหมดมาเก็บไว้ในทรัสต์กองนี้ แล้วให้ "บุคคลอื่น" มาช่วยบริหารทรัพย์สินในระหว่างที่ดำรงตำแหน่งทางการเมือง โดยที่เจ้าของทรัพย์สินไม่ทราบว่าผู้บริหารกองทุนนั้นคือใคร (blind) ในทางกลับกัน ผู้บริหารกองทุนก็ไม่ทราบว่าเจ้าของทรัพย์สินคือใคร มีหน้าที่แค่บริหารกองทุนไปตามปกติให้ทรัพย์สินงอกเงยขึ้นจากเดิม เป้าหมายขอ

ไม่ใช่ผู้เชี่ยวชาญเรื่องหุ้นและตลาดทุน แต่ก็สงสัยมานานเวลาอ่านข่าวเรื่อง market cap ของแอปเปิลในช่วงหลังๆ นี้ ส่วนตัวแล้วผมคิดว่า market cap มันเป็นแค่ดัชนีที่แสดงให้เห็น "กระแส" ในความคิดของนักลงทุนเป็นหลัก ดังนั้นแอปเปิลที่เล่นกับกระแสเก่งอยู่แล้วจึงไม่น่าแปลกใจที่จะมี market cap สูง สิ่งที่ควรพิจารณาจริงๆ คือของที่มันจับต้องได้อย่าง revenue/profit มากกว่า (ซึ่งแอปเปิลก็ทำได้ดีอีก เพียงแต่ประเด็น market cap มันน่าตื่นเต้นกว่าเวลาเป็นข่าว) วันก่อนไปตอบคอมเมนต์เรื่องนี้ใน Blognone เลยลองหาข้อมูลดูว่า market cap ของบริษัทใหญ่ในอดีตเป็นอย่างไรกันบ้าง แล้วก็ไปพบของ WSJ ทำเอาไว้ [Apple Market Ca

โน้ตสั้นๆ สำหรับคำศัพท์ และตัวย่อจำนวหนึ่ง ที่เจอในการอบรม [Connectivity and Convergence](http://www.isriya.com/node/3082/connectivity-and-convergence) * [DVB-T](http://en.wikipedia.org/wiki/DVB-T) มาตรฐานการเผยแพร่สัญญาณโทรทัศน์เป็นระบบดิจิทัล ใช้กันแพร่หลายในยุโรปและเอเชีย (ยกเว้นจีน-ญี่ปุ่น) * [Nokia Research](http://research.nokia.com/) ศูนย์วิจัยของโนเกีย ไม่ได้วิจัยแค่เรื่องเทคนิค แต่ยังมีเรื่องอื่นๆ เช่น เศรษฐศาสตร์โทรคม และพฤติกรรมการใช้งานของผู้บริโภคด้วย * [Ex-ante](http://en.wikipedia.org/wiki/Ex-ante) เป็นภาษาทาง public policy มันคือ การเข้าไปแทรกแซง__ก่อน__ปัญหาจะเกิด (คู่กับ Ex-

by Dr.

จากประชาไท น่าสนใจมาก [ทีดีอาร์ไอเสนอรื้อค่าธรรมเนียมโอนเงิน-เอทีเอ็ม แพงเกินจริง](http://www.prachatai.com/journal/2010/02/27692) > การที่ธนาคารทุกแห่งเลือกที่จะกำหนดค่าธรรมเนียมที่อัตราเพดานทุกราย ทำให้ธุรกรรมการโอนเงินระหว่างธนาคารในประเทศไทยมีค่าใช้จ่ายค่อนข้างสูง สูงกว่าการจ่ายเงินด้วยเช็ค ซึ่งมีค่าธรรมเนียมเพียง 15 บาทโดยไม่จำกัดวงเงิน (มีการศึกษาในอดีตว่าอัตราค่าธรรมเนียมดังกล่าวยังต่ำกว่าต้นทุน) ทำให้ผู้ใช้บริการที่ต้องการจะโอนเงินวงเงินสูงระหว่างธนาคาร ซึ่งมีค่าใช้จ่ายสูง มักเลือกที่จะใช้เช็คแทน หรือมิฉะนั้นก็จะหลีกเลี่ยงการโอนเงินข้ามธนาคาร โดยการกำหนดเงื่อนไขให้ผู้รับเงินต้องมีบ

A very useful chart from [Business Insider](http://www.businessinsider.com/chart-of-the-day-microsoft-operating-income-by-division-2010-2?utm_source=Triggermail&utm_medium=email&utm_campaign=SAI_COTD_021010). They just track Microsoft profit by division (business unit) and put the number on the chart. Good visualization. For a better illustration, I put another layer on this graph: Microsoft products launch date.

"Kwedit", the name that mimics "credit", is new payment method for digital life. From TechCrunch, [Kwedit Launches: The First Completely Unreliable Payment Network](http://www.techcrunch.com/2010/02/03/kwedit-launches-the-first-completely-unreliable-payment-network/) > Here’s how Kwedit works: they let users take on fake debt instead of paying for virtual goods with real money (or via scammy or legitimate offers). A user promises to pay later. It’s not an enforceable promise, and there is really no consequence if a user doesn’t pay.

อ่านเจอชื่อ Bretton Woods เลยต้องหาข้อมูลเพิ่มเล็กน้อย [Bretton Woods](http://en.wikipedia.org/wiki/Bretton_Woods_system) เป็นข้อตกลงที่สร้างระบบการเงินของโลกหลังยุคสงครามโลกครั้งที่สอง โดยเอาชื่อมาจากเมือง Bretton Woods ในนิวแฮมป์เชียร์ ซึ่งเป็นสถานที่ที่ใช้จัดประชุมในปี 1944 ในการประชุมครั้งนั้น นอกจากจะเซ็ตระบบการเงินโลกใหม่ ยังเป็นจุดกำเนิดของการตั้ง IMF และ World Bank อีกด้วย สาเหตุที่ต้องมี Bretton Woods ต้องเท้าความไปถึงภาวะทางการเงินโลกก่อนหน้านั้น ซึ่งอิงค่าเงินกับทองคำเป็นหลัก และใช้เงินสกุลหลักคือปอนด์อังกฤษ ด้วยเหตุผลว่าอังกฤษเป็นเจ้าโลกในช่วงนั้น แต่หลังสงครามโลกครั้งที่สอง เศร

อ่านข่าวจาก[ประชาไท](http://www.prachatai.com/05web/th/home/13769) ว่า > "โกลด์แมน แซคส์ และมอร์แกน สแตนลีย์ เป็นเพียง 2 วาณิชธนกิจของสหรัฐที่อยู่รอดจากวิกฤตการเงินครั้งประวัติศาสตร์ในครั้งนี้" เลยสงสัยว่าบรรดาวาณิชธนกิจ (ภาษาอังกฤษใช้ว่า [investment bank](http://en.wikipedia.org/wiki/Investment_banking)) ต่างๆ ที่ชื่อได้ยินผ่านหูมาตลอด มีต้นตอมาจากประเทศอะไรกันบ้าง ที่ต้องบอกว่าต้นตอเพราะว่าปัจจุบัน กิจการพวกนี้กลายเป็นข้ามชาติ ไม่มีสัญชาติที่ชัดเจนอีกต่อไปแล้ว ข้อมูลอ้างอิงใช้ [Wikpedia](http://en.wikipedia.org/wiki/List_of_investment_banks) (คัดมาเฉพาะส่วน Financial conglomerates