ไปเยือน Santiago Bernabeu บ้านของ Real Madrid แล้ว ก็กลายเป็นภาระหน้าที่ให้ต้องไปเหยียบ "ชามอ่างที่ใหญ่ที่สุดในยุโรป" Camp Nou สนามเหย้าของสโมสรฟุตบอล Barcelona FC ด้วย
"més que un club" สโลแกนของสโมสร แปลว่า "more than a club" เท่สาด
การเดินทาง
ก่อนอื่นต้องเล่าก่อนนิดนึงว่า เมืองบาร์เซโลนาเป็นเมืองท่าของสเปนครับ ตัวเมืองอยู่ติดทะเล โดยทะเลอยู่ทางทิศใต้ของเมือง ส่วนด้านเหนือและด้านตะวันตกของเมืองเป็นภูเขา
โซนเมืองเก่าของบาร์เซโลนาจะอยู่ใกล้ทะเลเป็นหลัก และจะขยายเมืองไล่ขึ้นเหนือมาเรื่อยๆ จนมาถึงเทือกเขาด้านเหนือของเมือง ซึ่งสนาม Camp Nou อยู่ในโซนค่อนไปทางเมืองใหม่ ไกลจากโซนกลางเมืองพอสมควร
การเดินทางสามารถไปด้วยรถไฟใต้ดิน แต่ป้ายรถไฟใต้ดินจะอยู่ไม่ติดกับสนามซะทีเดียว ต้องเดินไปอีกราว 10-15 นาที
สถานีที่ใกล้กับ Camp Nou ที่สุดมีสองอันคือ Collblanc กับ Palau Reial ครับ ผมลองเดินไปมาทั้งสองสถานีแล้ว พบว่า
- Collblanc จะอยู่ในเขตเมือง มีร้านค้า อพาร์ทเมนต์ สวนสาธารณะ แต่ถ้าจะเข้าไปชมสนามจะต้องเดินอ้อมกว่า
- Palau Reial จะโผล่ขึ้นมากลางทุ่ง (ตรงนั้นเป็นแคมปัสของมหาวิทยาลัย ที่ไม่มีอะไรเลย) มีถนนเส้นว่างๆ เดินตรงไปยังสนาม แต่จะเจอกับประตูเข้าสนามพอดี
ถ้าให้แนะนำ ไปสถานี Palau Reial ง่ายกว่า เพราะรถไฟใต้ดินเส้นนี้ยังผ่านจุดใหญ่ๆ ของเมืองบาร์เซโลนาอย่าง สถานีรถไฟ Sants หรือจัตุรัส Plaza Espanya ด้วย
นอกจากนี้ถ้าขึ้นรถนำเที่ยวพวก Sightseeing Tour ที่วนรอบเมืองตามจุดสำคัญต่างๆ รถบัสนี้จะจอดหน้าประตูเข้าสนามเลย สะดวกมาก
ไปสนามวันแรก อดเข้าเพราะเจอคอนเสิร์ต
ทันทีที่ผมไปถึงบาร์เซโลนา (นั่งรถไฟความเร็วสูงไป) เช็คอินที่โรงแรมเรียบร้อย ด้วยความตื่นเต้นก็ตั้งเข็มเดินทาง มุ่งไปยัง Camp Nou ทันที โดยนั่งรถไฟใต้ดินไปขึ้นที่สถานี Collblanc ที่ดูแล้วน่าจะใกล้ที่สุด
สถานีมีป้ายบอกทางไปยัง "Camp Nou" ชัดเจน
ระหว่างทางก็เห็นคนเดินไปมา เอาธงมาคลุมตัว หรือไม่ก็แขวนธงไว้ตามหน้าต่างห้อง ดังภาพ เราก็เข้าใจว่าช่วงนี้คงเป็นวันชาติของแคว้นคาตาลัน พื้นที่ของบาร์เซโลนา ซึ่งมีข่าวอยู่เรื่อยๆ ว่าอยากแยกตัวเป็นอิสระจากสเปน
เดินตามทัวริสต์มาเรื่อยๆ ก็ถึงสนาม เห็นคนยืนกันยุ่บยั่บ
มองลอดรั้วเข้าไป
ผมหาทางเข้าชมสนามไม่เจอ เลยถามเจ้าหน้าที่ที่เฝ้าประตูรั้วอยู่ เขาบอกให้เดินอ้อมสนามไปยัง "ประตูหมายเลข 9" ที่เป็นทางเข้า ระหว่างทางก็มีซุ้มขายของ ขายธงดังภาพ
เดินไปถึงประตูสนามก็ตะลึงครับ เจอกับฝูงชนมากมายเต็มไปหมด เกือบทุกคนคลุมตัวด้วย "ธงเหลืองแดง" สัญลักษณ์ของแคว้นคาตาลัน
ด้วยความงงงันก็ไปยืนอ่านที่ช่องขายตั๋ว (ที่มีภาษาอังกฤษแปะไว้) สรุปว่าเย็นวันนั้นมีคอนเสิร์ต งดเยี่ยมชมสนามชั่วคราว ปัดโถ่! อุตส่าห์ดั้นด้นมาจากเมืองไทย เจอแจ็คพ็อตซะงั้น
ผมกลับมาโรงแรมเปิดเว็บข่าวดูก็พบว่า ไม่ใช่วันชาติ แต่เป็นคอนเสิร์ตใหญ่เพื่อสนับสนุนการแยกตัวของแคว้นคาตาลันออกจากสเปน ซึ่งเป็นขบวนการเคลื่อนไหวที่คึกคักมากในรอบ 5-10 ปีให้หลังมานี้ (แต่ด้วยกระบวนการทางรัฐธรรมนูญสเปน ก็ไม่ได้แยกง่ายๆ อย่างที่ใจคิดหรอกนะ)
สรุปว่าความพยายามครั้งแรกฟาล์วไป ไม่มีทางเลือก ผมเลยลองกลับที่สถานี Palau Reial ซึ่งเดินง่ายกว่าแต่ก็ร้อนกว่า เพราะทางมันโล่งๆ ไม่มีอะไรบังแดดสักเท่าไรครับ
ความพยายามครั้งที่สอง ในที่สุดก็ได้เข้าแคมป์นู
วันต่อมาก็พยายามอีกครั้งครับ ในวันนี้ผมขึ้นรถนำเที่ยว Barcelona Bus Turístic (ซึ่งจะกล่าวถึงในบล็อกต่อๆ ไป) วนไปส่งถึงหน้าสนามเลย สบายมากทีนี้
ใครที่เคยอ่านสึบาสะภาค Road to 2002 มาคงจะทราบดีว่า สึบาสะย้ายไปเล่นกับสโมสรบาร์เซโลนา แต่ช่วงแรกถูกลดชั้นไปเตะอยู่ในทีมบี ซึ่งสนามอยู่ข้างๆ กันแต่มีถนนคั่น และเป็นความฝันของ "ทีมบี" ที่จะวิ่งข้าม "สะพานแห่งความฝัน" ที่สร้างข้ามถนนมุ่งไปยังแคมป์นูเพื่อติดทีมชุดใหญ่
สะพานที่ว่านี้มีจริงๆ นะครับ หน้าตาดังภาพ เพียงแต่ว่ามันข้ามไปได้แค่ฝั่งแคมป์นู แต่ไม่เข้าไปถึงตัวสนามแคมป์นูนะ
กลับมาที่ฝั่งของแคมป์นูครับ เดินเข้าประตูทางเข้าไป ด้านขวามือจะเจอกับ box office ที่ขายตั๋วเข้าชมสนาม (รายละเอียดดูที่ Camp Nou Experience) ค่าเข้า 23 ยูโร ถือว่าแพงมาก (แต่เขาเป็นทีมต่างดาวก็ยอมๆ เขาไปเถิด) ถ้ามากับรถ Turisme มีคูปองส่วนลดได้หน่อยนึง ถ้าจำไม่ผิดลดลงไป 1-2 ยูโร ก็ถือว่ายังดี
ฝั่งตรงข้าม box office เป็นทางเข้าสนามครับ อาคารนี้จะแชร์กันกับร้านขายของที่ระลึกของสโมสร
เราจะต้องเดินข้ามสะพานที่เห็นในภาพไปยังตัวอาคารของสนามแข่งอีกทีหนึ่ง
ระหว่างทางก็มีรูปภาพสิงห์นักเตะมากมายมาบิลด์อารมณ์แฟนบอลไปเรื่อยๆ
สนามบอลสเปนจะเปิดให้แฟนๆ และนักท่องเที่ยวเดินกันได้อย่างอิสระ ไม่มีไกด์คุมไปเป็นรอบๆ เหมือนสนามบอลในอังกฤษ ซึ่งกรณีของบาร์เซโลนาเขาสร้าง Museum ไว้ในอาคารของสนามเลย เข้าไปสัมผัสตำนานได้อย่างเต็มที่
ม็อตโต้ More than a club ถูกใช้ครั้งแรกในปี 1968 โดยประธานสโมสรในขณะนั้นให้สัมภาษณ์ว่า สำหรับเขาแล้ว บาร์เซโลนา "เป็นมากกว่าสโมสร" คำพูดนี้จึงถูกโควตต่อมาอีกจนวันนี้
บาร์เซโลนาไม่มีเทพเจ้านักเตะเดี่ยวๆ เหมือน Di Stefano ของมาดริด ดังนั้นตำนานของสโมสรก็แชร์ๆ กันไปตามแต่ละยุคสมัย แถมหลายยุคก็มีประเด็นเรื่องการเมืองภายในของสเปนมาเกี่ยวด้วย (บาร์เซโลนาเป็นสัญญะในการต่อสู้กับอำนาจของนายพลฟรังโก)
เทพๆ ของสโมสรในยุคกลางๆ ก็คือ โยฮัน ครัฟฟ์
ก็อดแฮนด์ก็เคยมาค้าแข้งอยู่ช่วงหนึ่ง
เสื้อของมาราโดนา
ครัฟฟ์กลับมาเป็นโค้ช
ยุคของแฟรงค์ ไรจ์การ์ด
ปิดท้ายด้วยยุคของกวาดิโอล่า ซึ่งถือเป็นยุคทองของสโมสร
สถิติมีให้ดูครับว่า ผจก. คนไหนเก่งกว่าใคร
สินค้าคนดังก็มีครบครันครับ Obama มาได้ไงไม่รุ
ถุงมือของ Victor Valdes
อันนี้จำไม่ได้แล้ว เป็นเสื้อของ Messi ในโอกาสสำคัญสักอย่าง
บาร์เซโลนาเป็นสมบัติของชาวคาตาลัน ประชาสัมพันธ์ให้โลกรู้ว่า คาตาลันไม่เป็นรองสเปนนะเว้ย
ธงชาติคาตาลันทุกแห่งหน
มาถึงตู้สมบัติกันบ้าง ถ้วยหูยักษ์ สัญลักษณ์แห่งการเป็นเจ้ายุโรป 4 รอบ
The Greatest Player of All Time กับบัลลงดอร์ 4 สมัยซ้อน
รองเท้าทองคำก็มีนะฮะ
ตำนานของบางสโมสร ก็เกิดจากที่แคมป์นูนะ
หมดส่วนของมิวเซียมแล้ว ก็เข้าไปดูบรรยากาศภายในสนามกันครับ เดินทะลุมิวเซียมไปก็เจอแล้ว
ชามอ่างยักษ์ใหญ่แห่งยุโรป (เพิ่งจัดงานคอนเสิร์ตมาหมาดๆ กำลังรื้อเวทีกันอยู่เลย)
ทัวริสต์เต็มไปหมด เราก็ด้วย
สแตนด์และเจ้าหน้าที่ดูแลทัวริสต์ไม่ให้วุ่นวาย
รูปนี้ผมชอบมากครับ เด็กฝรั่งกับคุณแม่ ใส่เสื้อบาร์ซามาเยี่ยมชมแคมป์นู คือถ้า Messi คนใหม่จะเกิดขึ้น มันต้องมาจากแรงบันดาลใจแบบนี้แหละ
อีกมุมในมิวเซียมมีวิดีโอไฮไลท์การแข่งขันนัดสำคัญๆ ให้ดูกันตามสบาย ให้วิธีเอานิ้วจิ้มจอได้เลย จากการยืนชมอยู่พักหนึ่งก็ได้ความรู้ใหม่ว่า ประตูแรกของ Messi นี่ Ronaldinho เป็นคนแอสซิสต์ให้ ซาบซึ้งน้ำตาจะไหล
แปะคลิปหน่อยครับ
ผมเข้าใจว่า Camp Nou เปิดให้เข้าไปดูห้องแต่งตัวของนักเตะได้ แต่วันที่ไปนั้นหาไม่เจอจริงๆ ว่าไปทางไหน เข้าใจว่าอาจปิดไว้เพราะยังเคลียร์สนามไม่เสร็จก็เป็นได้ น่าเสียดายครับ
ระหว่างเดินกลับก็เจอเด็กๆ (เข้าใจว่าทัวริสต์เนี่ยแหละ) เตะบอลกันอยู่ใต้สนาม ให้ฟิลลิ่งเจ้าหนูยอดนักเตะดีมาก
Camp Nou ไม่มีมุมสวยๆ สำหรับถ่ายรูปแล้วเห็นทั้งสนามแบบ Santiago Bernabeu ส่วนหนึ่งเป็นเพราะอาคารขายของสร้างมาบังไว้ จะถ่ายรูปก็ได้ทีละครึ่งแบบนี้
หมดชุดของสนามแข่งแล้วก็เข้าโซนร้านค้าครับ ปี 2013 นี้ สปอนเซอร์ของบาร์ซาเปลี่ยนจาก Qatar Foundation มาเป็น Qatar Airways แล้ว (คอมเมิร์ซเชียลเต็มตัว) ชนกันตรงๆ กับมาดริดที่ได้ Emirates เป็นสปอนเซอร์ใหม่ (ใครชนะไม่รู้ แต่แขกครองสเปนเรียบร้อยแล้ว)
ที่บอกได้คือเสื้อโคตรแพง เสื้อปีใหม่ล่าสุดแบบสกรีนเบอร์แล้ว ตัวละ 100 ยูโรแน่ะ ซื้อไม่ลงเลยทีเดียว (เมดอินไทยแลนด์ด้วยครับ) ส่วนเสื้อปีเก่าก็แทบไม่ลดราคาเลย ถูกสุดตัวละ 75 ยูโร โคตรแพงไม่แพ้กัน
เสื้อของเขาคนนี้ก็มาแล้ว Neymar Jr. แต่ยังไม่มีเบอร์ติดในตอนนั้น
ชุดขุนพลแห่งคาตาลัน (เสื้อทีมเยือนปีนี้สีเหลืองแดง ใช้สีของธงยกมาเลย รักชาติกันจริงจังมาก)
ของที่ระลึกฮาๆ ก็มีนะครับ ฝรั่งก็ดีตรงนี้ ไม่ซีเรียส หยอกเล่นกันได้
หน้าสนาม ประวัติการก่อตั้งปี 1899 และฉลองครบร้อยปีในปี 1999 (นี่ไม่ใช่ฝาท่อนะครับ!)
หน้าสนามอีกมุม
อนุสาวรีย์ครบ 100 ปีของสโมสร
จบแล้วครับ ได้เวลาขึ้นรถกลับไปเที่ยวที่อื่นในเมืองต่อ ได้ข้อสรุปว่าแคมป์นูนั้น "ใหญ่ รักบ้านเกิด และแพง"
ใครจะไปดูบาร์เซโลนามาไทยในสัปดาห์นี้ ก็หวังว่าคงจะได้เข้าใจวัฒนธรรมและประวัติศาสตร์ของสโมสรมากขึ้นจากบล็อกนี้ครับ