in Movies

Dragon Quest: Your Story

คำเตือน: สปอยล์เนื้อเรื่องหนักมาก

Dragon Quest: Your Story ภาพยนตร์แอนิเมชันหนังใหญ่ของซีรีส์ Dragon Quest ออกฉายในปี 2019 ถือว่าเซอร์ไพร์สเหมือนกัน เพราะเราไม่เห็นการดัดแปลงเนื้อหาจากเกม Dragon Quest มาเป็นสื่อภาพเคลื่อนไหวมากนัก

(เช็คข้อมูลแล้วพบว่า Your Story ถือเป็นเรื่องที่สอง เรื่องแรกชื่อ Dragon Quest Saga – The Crest of Roto ออกในปี 1996 เป็นการดัดแปลงจากมังงะภาคตำนานโรโต้)

Your Story จับเนื้อเรื่องของเกมภาค V ซึ่งเป็นหนึ่งในภาคที่ดังที่สุดของซีรีส์ (ถ้าไม่นับตำนานโรโต้ในภาค 1-3) โดยเดินเรื่องตามในเกมเลย นั่นคือตัวเอก “ริวกะ” (ชื่ออังกฤษคือ Luka) เป็นลูกชายของกษัตริย์ที่ออกตามหาแม่ที่ถูกจอมมารจับตัวไป

เนื้อเรื่องของภาค V นั้นโดดเด่นอยู่แล้ว เพราะแกนหลักอยู่ที่การต้องเลือกระหว่างนางเอก 2 คน ระหว่างเพื่อนสมัยเด็ก Bianca และเจ้าหญิง Flora (ชื่อเวอร์ชันอังกฤษคือ Nera) ซึ่งถือว่าทันสมัยมากเมื่อเทียบกับเกมปี 1992 และมาก่อน Final Fantasy VII หลายปี

(ถ้าเป็นเวอร์ชันรีเมค DS ปี 2009 มีนางเอกคนที่สามคือ Deborah พี่สาวของ Flora เพิ่มเข้ามา แต่ในอนิเมเวอร์ชันนี้มีแค่ 2 คนหลัก)

การที่เนื้อเรื่องของภาค V กินเวลาในเรื่องยาวนานหลายสิบปี ตั้งแต่ตัวเอกยังเป็นเด็ก จนกระทั่งลูกโต ถ้านำไปเล่าผ่านเกม RPG ที่ใช้เวลาเล่นนานๆ หรือสื่อมังงะ-อนิเมะฉายทีวี คงไม่เป็นปัญหามากนัก แต่เมื่อนำมาเล่าในหนังยาว 1:40 ชั่วโมง ก็ถูกบีบให้ต้องเล่าเรื่องเร็วมากๆ จนคนไม่เคยเล่นเกมมาก่อน น่าจะตามไม่ค่อยทันนัก โดยเฉพาะในช่วงประมาณ 20 นาทีแรก

แต่ปัญหาเรื่องการเดินเรื่องเร็วจัดๆ ถือเป็นเรื่องเล็กไปเลย เมื่อมีประเด็นเรื่อง “ตอนจบ” ของ Your Story พลิกปมที่ขัดแย้ง (plot twist) คนที่ชอบก็คงชอบไปเลย เกลียดก็เกลียดไปเลย ซึ่งผมอยู่กลุ่มหลัง

หลังจากเดินเรื่องตามเกมภาค V มาได้ราว 90% และกำลังจะเผชิญหน้ากับจอมมารบอสสุดท้าย เรื่องก็เฉลยว่า ตัวเอกของเรื่องกำลังเล่นเกม Dragon Quest V ภาค VR ในโลกอนาคต แต่เจอกับไวรัสของระบบ ที่สร้างโดยโปรแกรมเมอร์ที่เกลียดเกม Dragon Quest ซึ่งสุดท้ายแล้ว ตัวเอกที่ผูกพันกับ DQ5 มาตั้งแต่ยังเด็ก ก็อาศัยความรักความผูกพันกับเกมเอาชนะไวรัสร้ายได้ เดินเรื่องต่อตามเส้นเรื่องเดิม แม้รู้ว่าทั้งหมดคือเกมก็ตาม

การแต่งเรื่องแบบนี้เข้าใจได้ว่า ต้องการเอาใจแฟนเกมในญี่ปุ่นที่ผูกพันกับ Dragon Quest ระดับเป็น cult เลยทีเดียว แฟนเกมกลุ่มนี้รู้เนื้อเรื่องในเกมจนปรุแล้ว การเดินเรื่องตามเกมจึงไม่มีอะไรเซอร์ไพร์ส และการมี plot twist แบบนี้ก็น่าจะเป็นการแสดงความเคารพต่อแฟนๆ ที่เหนียวแน่นกับซีรีส์มาตลอด

แต่สำหรับผู้ชมทั่วๆ ไปที่อาจไม่เคยเล่น DQ5 มาก่อน มาดูหนังเรื่องนี้ด้วยความคาดหวังว่า เราจะได้เห็นโลกแฟนตาซี ผู้กล้าปราบจอมมารตามแบบฉบับ พอมาเจอการพลิกบทตอนสุดท้าย เฉลยว่าทุกอย่างเป็นแค่เกม VR ก็น่าจะเสียความรู้สึกเหมือนกัน (แย่พอๆ กับปาหมอน หรือแย่กว่าด้วยซ้ำ)

หนังได้คะแนนรีวิวเฉลี่ย 6.6 บน IMDb ซึ่งก็ไม่ผิดจากความคาดหมายนัก ลองอ่านความเห็นดูแล้วพบว่า ถ้าชอบก็ชอบไปเลย ถ้าไม่ชอบก็ไม่ชอบไปเลย (ตัวอย่างเช่น รีวิวของ Forbes บอกว่า Idiotic Finale)

ตรงนี้ก็ไม่ค่อยเข้าใจเหมือนกันว่า ทำไมผู้สร้างถึงเลือกเขียนบทแบบนี้ ทั้งที่การเดินเรื่องตามเกมแบบเป๊ะๆ (ปราบจอมมารแล้วโลกสงบสุข) ก็ไม่มีปัญหาอะไร และเป็นสิ่งที่คนทั่วไปน่าจะคาดหวังแบบนั้นอยู่แล้ว

ลองดูชื่อผู้สร้างว่าเป็นใคร ผู้กำกับ Takashi Yamazaki สร้างชื่อมาจากเรื่อง Always: Sunset on Third Street และ Stand by Me Doraemon โดยทีม CG ก็เป็นทีมเดียวกับที่ทำ Stand by Me Doraemon อีกเหมือนกัน นอกจากนี้ยังมี Yuji Horii บิดาแห่ง Dragon Quest มาให้คำปรึกษาด้วย

ในแง่งานภาพและสไตล์การนำเสนอ ช่วงที่หนังเปิดตัวแรกๆ โดนวิจารณ์พอสมควรเรื่องการเป็น 3D ทำให้เสียเอกลักษณ์ของลายเส้นแบบ Toriyama Akira ไป แต่ผมคิดว่าภาพทำออกมาได้สวยดี โดยเฉพาะตัวละครหลักกับฉาก จะมีงานเผาบ้างคือส่วนของตัวประกอบ เช่น ชาวบ้านในเมืองหรือในร้านอาหารเท่านั้น

ภาพรวมแล้วถือว่าน่าเสียดายมาก อุตส่าห์ทำงานภาพได้ออกมาดีขนาดนี้ ถ้าไม่อินดี้จัดจนอยากพลิกบทตอนจบ การเล่าเรื่อง DQ5 ออกมาเป็นภาพยนตร์สวยๆ ก็น่าจะช่วยเปิดฐานแฟนๆ หน้าใหม่ได้อีกมาก (ลองคิดว่าแฟนหน้าใหม่มาดู Your Story ครั้งแรก ก็ไม่น่าจะอยากมีคนตามไปเล่นเกมอีกสักเท่าไร)